หน่วยที่4

กฎหมายหลักที่ใช้ปกครองประเทศ



ความรู้ทางการเมืองการปกครอง หลักการจัดระเบียบการปกครองประเทศ หรือการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินนั้น ที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนิยมใช้ มีอยู่ 3 หลักการด้วยกัน คือ

1.หลักการรวมอำนาจ (Centralization)

2.หลักการแบ่งอำนาจ (Deconcentralization)

3.หลักการกระจายอำนาจ(Decentralization)

การรวมอำนาจ เป็นหลักการปกครองที่รวมอำนาจที่สำคัญไว้ในส่วนกลาง อำนาจดังกล่าว ได้แก่การวินิจฉัยสั่งการและการบังคับบัญชา ซึ่งผลในการสั่งการจะมีอำนาจครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เกิดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง หรือรัฐบาลกลาง ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ

ลักษณะสำคัญของการวมอำนาจ มี 5 ประการ คือ

1.กำลังทหารและตำรวจขึ้นอยู่กับส่วนกลาง

2.การวินิจฉัยสั่งการขึ้นอยู่กับส่วนกลาง

3.มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้น

4.ส่วนกลางเป็นผู้กำหนดนโยบายในการปกครองประเทศ

5.อำนาจในการต่างประเทศ ส่วนกลางเป็นผู้กำหนด

ข้อดีของหลักการรวมอำนาจ

1)ทำให้เกิดความมั่นคง

2)ทำให้เกิดการประหยัด

3)สามารถบริการประชาชนโดยเสมอหน้า

4)ทำให้เกิดเอกภาพ(Unity) ในทางปกครอง

ข้อเสียของหลักการรวมอำนาจ

1.ไม่สามารถดำเนินกิจการทุกอย่างให้ได้ผลดีทั่วท้องที่ได้ในขณะเดียวกัน

2.ทำให้เกิดความล่าช้าในการวินิจฉัยสั่งการ

3.ไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย

4.ไม่อาจสนองความต้องการของแต่ละท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง

การแบ่งอำนาจ หมายถึงการบริหารราชการ ที่ส่วนกลางได้จัดแบ่งอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการบางส่วน หรือบางขั้นตอนไปให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นตัวแทนของหน่วยงานของตน ซึ่งออกไปประจำอยู่ในเขตการปกครองต่าง ๆ ของประเทศ ให้วินิจฉัยสั่งการได้เองตามระเบียบแบบแผนที่ส่วนกลางกำหนดไว้ การแบ่งอำนาจทำให้เกิดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค

ลักษณะสำคัญของการแบ่งอำนาจ

1.ต้องมีราชการบริหารส่วนกลาง

2.ต้องมีเจ้าหน้าที่เป็นตัวแทนของส่วนกลาง

3.ส่วนกลางแบ่งอำนาจให้ส่วนภูมิภาค

ข้อดีของการแบ่งอำนาจ

1)เป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การกระจายอำนาจ

2)ทำให้ส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นมีการประสานงานกันดี

3)ทำให้การปฏิบัติราชการรวดเร็วยิ่งขึ้น

4)มีประโยชน์สำหรับประเทศที่ประชาชนยังขาดสำนึกในการปกครองตนเอง

ข้อเสียของการแบ่งอำนาจ

1)เป็นอุปสรรคในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย

2)ก่อให้เกิดความล่าช้า

3)ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ท้องถิ่น

การกระจายอำนาจ หมายถึง การโอนอำนาจในทางการปกครองจากส่วนกลางบางอย่าง ไปให้ประชาชนในท้องถิ่นดำเนินการเอง โดยมีอิสระพอสมควร ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย การกระจายอำนาจทำให้เกิดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น

ลักษณะสำคัญของการกระจายอำนาจ

1.เป็นองค์กรที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล

2.มีสภาและผู้บริหารระดับท้องถิ่น

3.มีอิสระในการปกครองตนเอง (อยู่ภายในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด)

4.มีงบประมาณและรายได้ของตนเอง

5.มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานของตนเอง

อนึ่ง หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น มิได้เป็นหน่วยภายใต้บังคับบัญชาของส่วนกลางเหมือนการปกครองส่วนภูมิภาค

ข้อดีของหลักการกระจายอำนาจ

1)สามารถสนองความต้องการของท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น

2)เป็นการแบ่งเบาภาระของส่วนกลาง

3)กระตุ้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง

ข้อเสียของหลักการกระจายอำนาจ

1)อาจเป็นภัยต่อเอกภาพทางการปกครองและความมั่นคงของประเทศ

2)ทำให้ราษฎรเพ่งเล็งเห็นประโยชน์ของท้องถิ่นสำคัญกว่าส่วนรวม

3)เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้งอาจใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่เหมาะสม

4)ย่อมทำให้เกิดความสิ้นเปลืองมากกว่า



กฎหมายรัฐธรรมนูญ



กฎหมายรัฐธรรมนูญ มีองค์ประกอบต่อไปนี้

เป็นกฎหมาย

ในเรื่องใดก็ตาม เช่น การใช้อำนาจรัฐ การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง

โดยต้องเกี่ยวกับการปกครองรัฐ

ในระดับรัฐ มิใช่เพียงเอกชน หรือองค์กรท้องถิ่น

ไม่จำกัดรูปแบบว่าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ อาจเป็นจารีตหรือธรรมเนียมทางการเมืองการปกครองก็เป็นได้

ดังนั้น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมถือเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ เช่นกัน

ส่วน รัฐธรรมนูญ ที่หมายถึง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หาได้เป็นสิ่งเดียวกับ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" ไม่ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ"



พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน



ส่วนที่ 1 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง

มาตรา 7 ให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ดังนี้

(1) สำนักนายกรัฐมนตรี

(2) กระทรวง หรือทบวงซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากระทรวง

(3) ทบวง ซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง

(4) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง

สำนักนายกรัฐมนตรีมีฐานะเป็นกระทรวง

ส่วนราชการตาม (1) (2) (3) และ (4) มีฐานะเป็นนิติบุคคล

มาตรา 8 การจัดตั้ง การรวม หรือการโอนส่วนราชการตาม มาตรา 7 ให้ตราเป็น พระราชบัญญัติ

การจัดตั้งทบวงโดยให้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง ให้ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติด้วย

การจัดตั้งกรมหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ซึ่งไม่สังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง ให้ระบุการไม่สังกัดไว้ในพระราชบัญญัติด้วย

[ มาตรา 8 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]

มาตรา 8ทวิ การรวมหรือการโอนส่วนราชการตาม มาตรา 7 ไม่ว่าจะมีผล เป็นการจัดตั้งส่วนราชการขึ้นใหม่หรือไม่ ถ้าไม่มีการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราของข้าราชการ หรือลูกจ้างเพิ่มขึ้นให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่ง ให้ระบุอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ การโอน อำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งส่วนราชการหรือเจ้าพนักงานที่มีอยู่เดิม การโอน ข้าราชการและลูกจ้าง งบประมาณรายจ่าย รวมทั้งทรัพย์สินและหนี้สินเอาไว้ด้วย แล้วแต่กรณี

ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและสำนักงบประมาณมีหน้าที่ ตรวจสอบดูแลมิให้มีการกำหนดตำแหน่งหรืออัตราของข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการ ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หรือที่ถูกรวมหรือโอนไปตามวรรคหนึ่ง เพิ่มขึ้นจนกว่าจะครบกำหนดสามปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งมีผลใช้บังคับ

[ มาตรา 8ทวิ เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]

มาตรา 8ตรี การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการตาม มาตรา 7 ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และในกรณีที่ชื่อตำแหน่งของข้าราชการในส่วนราชการนั้นเปลี่ยนไปให้ระบุการเปลี่ยนชื่อไว้ใน พระราชกฤษฎีกาด้วย

บทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เทศบัญญัติหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นอื่น ประกาศ หรือคำสั่งใดที่อ้างถึงส่วนราชการหรือตำแหน่งของข้าราชการที่ได้ถูกเปลี่ยนชื่อตาม วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เทศบัญญัติหรือข้อบัญญัติ ท้องถิ่นอื่น ประกาศหรือคำสั่งนั้นอ้างถึงส่วนราชการหรือตำแหน่งของข้าราชการที่ได้เปลี่ยนชื่อนั้น

[ มาตรา 8ตรี เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]

มาตรา 8จัตวา การยุบส่วนราชการตาม มาตรา 7 ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบส่วนราชการตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้งบประมาณรายจ่าย ที่เหลืออยู่ของส่วนราชการนั้นเป็นอันระงับไป สำหรับทรัพย์สินอื่นของส่วนราชการนั้นให้โอน ให้แก่ส่วนราชการอื่นหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามที่รัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้รักษาการตามพระราช กฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี สำหรับวิธีการจัดการกิจการ สิทธิและหนี้สินของส่วนราชการนั้นให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

ข้าราชการหรือลูกจ้างซึ่งต้องพ้นจากราชการเพราะเหตุยุบตำแหน่ง อันเนื่องมา แต่การยุบส่วนราชการตามวรรคหนึ่ง นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับตามกฎหมายหรือ ระเบียบข้อบังคับอื่นแล้ว ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างได้รับเงินชดเชยตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งด้วย

ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นของรัฐประสงค์จะรับโอน ข้าราชการหรือลูกจ้างตามวรรคสามก็ให้กระทำได้โดยมิให้ถือว่าข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้น ได้พ้นจากราชการตามวรรคสาม แต่ทั้งนี้ต้องกระทำภายในสามสิบวันนับแต่พระราชกฤษฎีกา ตามวรรคหนึ่งมีผลใช้บังคับ

[ มาตรา 8จัตวา เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]

มาตรา 8เบญจ พระราชกฤษฎีกาตาม มาตรา 8ทวิ หรือ มาตรา 8 จัตวา ที่มีผล เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จัดตั้งส่วนราชการ กฎหมายว่าด้วย การปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตาม มาตรา 230 วรรคห้า ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้ระบุให้ชัดเจนในพระราชกฤษฎีกาว่าบทบัญญัติใดถูก แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกเป็นประการใดในกฎหมายนั้น

[ มาตรา 8เบญจ เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]

มาตรา 8ฉ การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี กรม หรือ ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ให้ออกเป็นกฎกระทรวงและให้ระบุอำนาจ หน้าที่ของแต่ละส่วนราชการไว้ในกฎกระทรวงด้วย

ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ออกกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการดังกล่าว กฎกระทรวงนั้นเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

[ มาตรา 8ฉ เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]

มาตรา 8สัตต ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและสำนักงบประมาณ ร่วมกันเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการแบ่งส่วนราชการภายในและในการกำหนดอำนาจ หน้าที่ของแต่ละส่วนราชการตาม มาตรา 8ฉ ในการเสนอความเห็นดังกล่าวให้สำนักงาน คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนจัดอัตรากำลัง และสำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณ ให้สอดคล้องเสนอไปในคราวเดียวกัน

[ มาตรา 8สัตต เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]

มาตรา 8อัฏฐ การแบ่งส่วนราชการภายในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันในทบวง มหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยหรือสถาบันนั้น

[ มาตรา 8อัฏฐ เพิ่มความโดยพระราชบัญญัติ ฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543]



ปัญหาการใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานของรัฐ





1. ความไม่รู้กฎหมายเพียงพอของเจ้าพนักงานของรัฐ



การทำงานของเจ้าพนักงานมักจะใช้การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ตนได้พบเจออยู่ เป็นประจำ แต่ในบางครั้งเรื่องที่ได้รับแจ้งมานั้นอาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ครั้งนัก จึงยากที่จะใช้กฎหมายถ้าไม่รู้จักวิธีการอ่านกฎหมาย ศึกษากฎหมาย และแปลความกฎหมายเพื่อปรับใช้ในคดีความที่เกิดขึ้น อีกประการหนึ่ง เนื่องจากพนักงานตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมายทั่วไป ผิดกับเจ้าพนักงานอื่นๆที่มีหน้าที่ให้รักษาการเฉพาะเรื่องที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีความชำนาญในเรื่องนั้นโดยเฉพาะ เพราะบทกฎหมายที่รักษาการนั้นมีอย่างจำกัด การที่จะให้ความรู้แก่เจ้าพนักงานตำรวจเพิ่มขึ้นจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้รู้ถึงกฎหมายต่างๆอย่างกว้างขวาง และรู้ถึงวิธีการและเทคนิคการใช้กฎหมาย จึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องเป็นธรรม



2.การใช้ดุลพินิจอันไม่สมควรในการปฏิบัติหน้าที่



การใช้ดุลพินิจนั้นอาจมีหลายระดับตั้งแต่ในชั้นการสอบสวน การสั่งฟ้องคดีอัยการ การพิพากษาคดี หรือการออกคำสั่งคำร้องของผู้พิพากษา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการใช้ดุลพินิจที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ใช้เพื่อความ ยุติธรรมในแต่ละขั้นตอนตามควรแก่กรณีทั้งสิ้น ในการใช้ดุลพินิจของพนักรัฐนั้น โดยมากมักมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากนโยบายของหน่วยงาน และการปฏิบัติที่สืบต่อกันมา หากการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานเป็นไปอย่างไม่เที่ยงธรรม การการละเว้นหรือให้อภิสิทธิ์แก่บุคคลบางกลุ่มก็ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม แก่บุคคลบางกลุ่มขึ้น ซึ่งการใช้ดุลพินิจดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากเจ้าพนักงาน มิฉะนั้นแล้วประชาชนจะรู้สึกเกลียดชังเจ้าพนักงานของรัฐ และรัฐก็จะไม่ได้รับความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายจากประชาชน